วิเคราะห์แกเร็ธ เบล ควรไปไหนดีระหว่าง สเปอร์ส กับ แมนยู

วิเคราะห์แกเร็ธ เบล ควรไปไหนดีระหว่าง สเปอร์ส กับ แมนยู

เป็นอีกข่าวที่มาแรงมาจนทำให้บ่อนพนันเริ่มหวั่นถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ นั่นก็คือ การย้ายมาของ (อดีต) สุดยอดปีกอย่าง แกเร็ธ เบล ที่ตอนนี้เราแยกไม่ออกจริงๆว่าเค้าเป็นนักฟุตบอลหรือ นักกอล์ฟกันแน่ แต่ที่รู้แน่คือเค้าไม่เป็นที่ต้องการของ รีล มาดริด ที่ต้องการเคลียร์เค้าออกไปเพื่อจัดการเพดานค่าเหนื่อยนักเตะที่สูงเกินไป คำถามสำหรับสถานการณ์นี้ก็คือ เบล ควรไปไหนดีระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ สเปอร์ส ที่มีข่าวคั่วกันอยู่สองทีมเท่านั้น

กลับบ้านเก่าที่สเปอร์ส

ช้อยส์แรกที่เรามองว่าเป็นไปได้มากกว่าเป็นที่ สเปอร์ส อย่างแรกเลยหากจะเลือกกลับพรีเมียร์ลีค การได้กลับมาเล่นที่บ้านเก่าทีมเดิม (หากยังต้องการ) ตัวอยู่ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจและถูกต้องมาก อย่าลืมว่าการย้ายจากสเปอร์สไปรีล มาดริด แม้จะมีแฟนบอลก่นด่าบ้างที่ทิ้งทีมไป แต่เค้าก็ไปอย่างมีศักดิ์ศรีทำรายได้ให้กับสโมสรมากมาย เชื่อว่าแฟนบอลหลายคนก็คงจะไม่ซีเรียสอะไรหากเค้ากลับมาสวมใส่อีกครั้งหนึ่ง กับสองการกลับมาของเค้ามันเหมือนจะการันตีการลงสนามได้มากกว่าตำแหน่งนี้ ถ้าเบลมา ยังไงก็ได้ลง(แต่ต้องหลังจากปรับสภาพด้วย) น่าจะทำให้เจ้าตัวแฮปปี้มีโอกาสลงสนามตามใจต้องการ

เผชิญความท้าทายที่ แมนยู

อีกหนึ่งดีลที่เค้าว่าแรงเหมือนกันก็คือ แมนยู เพราะว่าตอนนี้ดูทางแมนยูจะไม่ได้มาเลยในตำแหน่งปีกขวาทั้งซานโช่ และ กรีลิช การได้เบลมาแทนที่ ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่เหลืออยู่ในตลาดตอนนี้ อย่าลืมว่านี่เป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นแบบยืมตัวเท่านั้น หากเบลไปเค้าจะได้เจออะไรใหม่ ความท้าทาย เพื่อนร่วมทีม แท็คติคส์ ค่าการตลาดภาพลักษณ์ ค่าเหนื่อยฯลฯ ส่วนโอกาสลงตัวจริงอาจจะน้อยกว่าไปสเปอร์ส แต่การไปเล่นให้แมนยูมองว่ามีโอกาสซื้อขายมาขาด มากกว่าเล่นที่สเปอร์ส ก็ต้องดูว่าสุดท้าย โปรเบล จะเลือกสถานีลูกหนังป้ายหน้าอยู่ที่ไหนกันแน่

ถ้าไม่ขายเค้าไป เซาท์แธมป์ตัน

เซาท์แธมป์ตัน ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทีมในสโมสรพรีเมียร์ลีค ที่เป้าหมายของพวกเค้าค่อนข้างชัดเจนมาก นั่นก็คือ การปั้นนักเตะเพื่อขายออกไป แล้วประคองสถานภาพของทีมไม่ให้ตกชั้นไปด้วย ความเจ๋งของพวกเค้าก็คือ แม้ว่าพวกเค้าจะเสียนักเตะระดับแกนหลักของทีมไปกี่คน พวกเค้าก็ยังเล่นดีอยู่ไม่ตกชั้น แล้วไปหานักเตะมาปั้นใหม่ขายได้ตลอดเวลา มีการทำคอนเทนต์หนึ่งขึ้นมาว่า ถ้าเรารวมดาวเอาแบบไม่เก่ามากของ เซาท์ถ้าไม่ขายเค้าเหล่านั้นไป ทีมจะมีไลน์อัพอย่างไร

ผู้รักษาประตู กับกองหลัง

มาดูแผงหลังกันก่อน ผู้รักษาประตูเป็น แม็คคาธี่ ที่ตอนนี้อยู่ที่เซาท์เหมือนเดิม กองหลังสี่ตัวต้องบอกเลยว่าของจริงทั้งนั้น ไล่มาตั้งแต่ ลุค ชอว์, เวอร์กิล ฟานไดค์, ฟอนเต้(ลีลล์) และ นาธาเนียล ไคลน์ ของคริสตัล พาเลซ ถ้าหลังสี่ตัวนี้ยังอยู่ ในฟอร์มปัจจุบันบอกเลยว่า เหนียวระดับแชมป์ลีค

กองกลาง

แผงกองกลางที่เค้าจัดกันเป็นแบบ 4 ตัว ตามสูตร 4-4-2 ตัวละครมีดังนี้ ซานดิโอ มาเน่ , เจมส์ วอร์ด พราวส์, ปิแอร์ ฮอย์เบิร์ก และ แกเร็ธ เบล เอาแค่ชื่อที่ว่ามานี้ต้องบอกว่าเลยว่าฟอร์มตอนนี้จิ๊ดมาก (ไม่นับเบล) หรือมองไปตอนที่เบลก่อนย้ายจากเซาท์ไปสเปอร์ส ก็โหดอยู่นะ หรือแม้แต่ เจมส์ วอร์ด ที่แม้จะไม่ถูกขายออกไป แต่เกมกับเอฟเวอร์ตัน เค้าแสดงให้เห็นว่าแม้จะไม่ได้ถูกซื้อไปไม่ได้ความว่าไม่มีทีเด็ดนะ

กองหน้า

ทีนี้กองหน้าของเค้า สองคนเป็น แดนนี่ อิงส์ และ ดูซาน ทาร์ดิช สำหรับรายแรก แม้ว่าจะเป็นนักเตะปัจจุบันแต่ก็ต้องยอมรับว่า เค้ากลับชาติมาเกิดใหม่ได้อีกครั้งแบบน่าชื่นชมทีเดียว จนเราคิดเล่นๆว่า หากทีมไหนขาดกองหน้าคมๆ ประสบการณ์สูง อิงส์ น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเหมือนกัน ส่วนดูซาน ทาร์ดิช ต้องบอกเลยว่าตอนอยู่เซาท์ทำทีมใหญ่น้ำตาตกในมาหลายรอบแล้ว แม้ว่าจะอายุเยอะแล้วตอนนี้ แต่เล่นให้กับอาแจ็กซ์ น้องดาวรุ่งหลายคนมีอายเลยทีเดียว

เกิดอะไรขึ้นกับลิเวอร์พูลในเกมล่าสุด

เกิดอะไรขึ้นกับลิเวอร์พูลในเกมล่าสุด

ต้องถือว่าเป็นเกมที่สร้างความช็อคให้กับเหล่าเดอะค็อปไปทั่วโลก เมื่อลิเวอร์พูลทีมรักของพวกเค้า แพ้อีกแล้ว ต่อเลสเตอร์ ยังอาการไม่ดี ไม่ฟื้น แถมทำให้ตัวเองมีโอกาสโดนแซงร่วงลงมาจากกลุ่มพื้นที่ท็อปโฟร์ด้วย เกิดอะไรขึ้นกับพวกเค้าในเกมล่าสุดที่แพ้ต่อเลสเตอร์ ซิตี้

คาบัค โดนรับน้อง

เกมนี้มองจากไลน์อัพ มีทั้งข่าวร้ายและดี เนื่องจากเค้าได้ส่งเซนเตอร์แบ็คคนใหม่อย่าง โอซาน คาบัค ลงสนาม แต่ว่าต้องส่งลงเพราะว่า ฟาบินโญ่ เจ็บแบบไม่มีทางเลือกเลยต้องส่งลง แล้วก็เป็นคำตอบที่แฟนบอลเข้าใจว่าทำไมไม่ส่งลงสนามสักที เพราะว่าเกมนี้ คาบัค โดนรับน้องพรีเมียร์ลีคเยอะเลย ยิ่งมาเจอกับทีมที่เล่นสวนกลับเร็วๆอย่าง เลสเตอร์ ทำให้ คาบัค วิ่งจนหัวหมุนเลยทีเดียว แถมโดนหลอกกินฟาลว์ตลอด จนเสียใบเหลืองไปในเกมนี้

การสื่อสารกันในทีม

การเล่นฟุตบอลมันเป็นกีฬาที่เล่นกันเป็นทีม เลยทำให้ประเด็นสำคัญอยู่ที่การสื่อสารภายในทีมมันต้องดีมากด้วย แล้วเกมนี้ คาบัค กับ อลิสซอน ผู้รักษาประตูคงต้องกลับไปทำการบ้านมาใหม่ คงต้องไปเรียนรู้ให้มากกว่านี้ เพราะว่าเกมนี้ประตูที่เสียไปมาจากการไม่สื่อสารกันให้ชัดเจน โดยเฉพาะประตูที่สองที่ อลิสซอน วิ่งออกมาตัดเกมไกลมาก จนชนกับ คาบัค ล้มกองลงไปทั้งคู่ บอลไหลไปเข้าทางวาร์ดี้ เลี้ยงยิงเข้าง่ายๆไป

เกมรุกกลับมาทำได้ดี

เรื่องดีกันบ้าง เกมนี้สามประสานแดนหน้า กลับมาทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเลย โดยเฉพาะการประสานงานที่นำมาสู่ประตูแรกของ เฟอร์มิโน่ และ ซาลาห์ ลูกนี้ถือว่าเป็นเทคนิคที่มาพร้อมกับจังหวะที่ลงตัว น่าเสียดายที่มันมีแค่จังหวะนั้นที่เราเห็นถึงความวูบวาบทั้งเกม

บาดเจ็บอีกแล้ว

เกมนี้มีปัญหาอีกแล้ว ช่วงกลางครึ่งแรก พวกเค้าเจออาการบาดเจ็บเล่นงาน เจมส์ มิลเนอร์ เหมือนเจ็บกล้ามเนื้อ เล่นต่อไม่ไหว ทำให้ทีมต้องใช้ ธิอาโก้ ลงมาเล่นแทน ซึ่งทำให้เกมแดนกลาง ยวบลงแบบเห็นได้ชัด เกมนี้ธิอาโก้ โดนเจ้าถิ่นรุม 2 ตลอดทำให้ออกบอลไม่ถนัด แล้วโดนสวนกลับหลายรอบ จนเป็นที่มาของประตูที่ 2, 3 ด้วย คงต้องกลับไปแก้ไขกันใหม่

ทำไมพรีเมียร์ลีคไม่ควรใช้สนามกลางเตะ

ทำไมพรีเมียร์ลีคไม่ควรใช้สนามกลางเตะ

ตอนแรกพรีเมียร์ลีคจะกลับมาเตะกันอีกครั้ง มีการตั้งแนวคิดเรื่องการใช้สนามกลางเตะ สำหรับเกมลีคบางนัด เพื่อจัดการแก้ปัญหาเรื่องแฟนบอลที่อาจจะไปออกันที่หน้าสนามจนอาจจะทำให้เกิดสถานการณ์แพร่กระจายของเชื้อโควิท 19 ได้อีก แต่เราบอกเลยว่าพรีเมียร์ลีคไม่ควรใช้สนามกลางเตะเกมบอลลีคเลย ด้วยเหตุผลต่อไปนี้
ต้องเซ็ตระบบใหม่
การใช้สนามกลางเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความสิ้นเปลืองอย่างมาก เพราะว่าตอนนี้สนามฟุตบอลของทีมในพรีเมียร์ลีคได้ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัย และ ระบบเรื่องของสุขภาพเอาไว้แล้วเรียบร้อย ทำให้การเตะฟุตบอลมีความปลอดภัยแบบ 100% ทั้งนักเตะ จนถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องคนอื่น แต่หากต้องไปเตะสนามกลางเท่ากับว่าพวกเค้าต้องย้ายไปเซ็ตระบบใหม่อีก ทำให้เสียเงิน เสียเวลา และอาจจะทำไม่ได้ดีเท่าสนามของตัวเองอีกด้วย
สนามกลางกันแฟนบอลไม่ได้
เหตุผลสำคัญที่พรีเมียร์ลีคมีแนวคิดเรื่องการเตะสนามกลางเป็นเพราะว่าพวกเค้ากลัวว่าแฟนบอลจะไปออกันหน้าสนาม แต่ถามจริงว่า หากพวกเค้าไปเตะสนามกลางอย่างเวมบลีย์ ถ้าหากแฟนบอลจะไปจริงๆมันจะห้ามได้ไหม คำตอบก็รู้กันอยู่แล้วว่าไม่ได้แน่นอน ยิ่งมีความอยากดูแบบอัดอั้นมาเต็มอกแบบนี้ ยังไงแฟนบอลก็ไป หรือ ถ้าไปเตะสนามกลาง ยังไงแฟนบอลก็ไปออหน้าสนามเหมือนเดิมอยู่ดี ดังนั้นเตะสนามเดิมนั่นแหละดีแล้ว
ความได้เปรียบเสียเปรียบ
แม้ว่าการเตะฟุตบอลในตอนนี้จะเป็นการเตะฟุตบอลแบบสนามปิดไม่มีผู้ชม แต่ถามว่าจะให้เตะสนามตัวเอง หรือ สนามกลาง คำตอบนักเตะต่างก็อยากเตะในสนามบ้านตัวเองเหมือนเดิม แม้จะไม่มีเสียงเชียร์ แต่ความได้เปรียบเสียเปรียบเรื่องความคุ้นเคยของขนาดสนาม(แต่ละสนามจะมีขนาดไม่เท่ากัน ความยาวที่ไม่เท่ากันมีผลต่อการเล่นฟุตบอล) พื้นหญ้า บรรยากาศ มันก็ยังสำคัญอยู่ดี เรื่องนี้เป็นความได้เปรียบเสียเปรียบที่มีผลอย่างมากด้วย แต่ละทีมคงไม่ยอมเสียเปรียบเกมในบ้านของตัวเองไปแน่ ยังไม่นับการฟ้องร้องย้อนหลังที่ไม่ได้เล่นในบ้านอีกนะ ดังนั้นอย่าทำเลยเล่นในบ้านตัวเองดีกว่า

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในพรีเมียร์ลีก คือความผิดหวังที่สุด

แมนฯ ซิตี้
แบร์นาโด้ ซิลวา กองกลางของทีมเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้ออกมายอมรับว่าการรั้งตำแหน่งของทีมเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมาก แต่ยังยืนกรานว่ายังมีเกมอีกมาให้เล่น
หลังจากผ่านสัปดาห์ที่ผ่านมาทีมเรือใบสีฟ้า แมนฯ ซิตี้ ตามหลังจ่าฝูงหงส์แดง ลิเวอร์พูลถึง 22 แต้มและต้องยอมรับว่าหงส์แดงรั้งตำแหน่งไว้แน่นแบบยากที่จะโค่นได้
ซิลวาให้สัมภาษณ์กับทางสกาย สปอร์ต สื่ออังกฤษว่า “การแข่งพรีเมียร์ลีกครั้งนี้มันน่าผิดหวังมาก ๆ ยิ่งเราอยู่ห่างจากลิเวอร์พูลมากขนาดนี้ และตอนนี้สิ่งที่เรากำลังสู้อยู่ก็เพียงเพื่อรั้งตำแหน่งที่สองของตารางเท่านั้น มันเจ็บมากเลยนะที่ตอนเริ่มฤดูกาล ทุกคนต่างหวังว่าตัวเองจะเป็นที่หนึ่ง จะได้ถ้วยมาครอง ซึ่งมันเป็นเป้าหมายหลักของการแข่งขันนี้และแฟน ๆ ก็รอลุ้นไปกับพวกเรา ดังนั้นมันเลยน่าผิดหวังมาก ๆ ไม่มีใครคาดคิดว่าคะแนนของเราจะทิ้งห่างจากลิเวอร์พูลมากขนาดนั้นในช่วงเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์ แต่มันเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้จากมั้ง เราต้องมาหาว่าอะไรที่เราทำผิดพลาดไปแล้วพยายามแก้ไขมัน”
“ผมไม่คิดว่ามันจะแค่วิธีที่เราตั้งรับ หรือการวางแผนรุก ผมคิดว่ามันมีหลาย ๆ อย่าง และแม้แต่รายละเอียดเล็ก ๆ อาจจะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มันแตกต่างกันออกไป ถ้าคุณดูที่พวกผมเล่นในปีนี้ก็จะเห็นจุดเล็ก ๆ ที่ไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดไว้ แน่ละมันไม่ใช่ข้ออ้างและพวกผมควรทำได้ดีกว่านี้ พวกผมเองก็ผิดหวังในตัวเองเหมือนกันครับ”
“แต่ถ้าคุณเห็นว่าในปีนี้พวกผมมีคนบาดเจ็บเยอะ และการที่ระบบวีเออาร์เองก็ตัดสินเกมได้ต่างจากที่พวกเราคาดไว้ ผมไม่ได้บ่นนะ มันคือเกมการแข่งขัน มันคือฟุตบอล บางครั้งมันก็เป็นไปอย่างที่เราคิด และบางครั้งก็ไม่ เรามีโอกาสทำประตูต่อเกมได้เกือบ 30 ครั้ง แต่เราทำได้จริง ๆ อาจจะแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น ซึ่งมันก็เกิดกับทุกทีมนั้นแหละ คู่แข่งของเราก็เช่นกัน”

3 ทีมแชมป์กลุ่มที่ไม่มีใครอยากเจอ

การแข่งขัน UCL รอบต่อไปจะเป็นการแข่งขันแบบน็อคเอาท์แข่งกันสองเกม ผลัดกันเป็นทีมเยือนแล้วเอาผลการแข่งขันมาวัดกันใครทำได้ดีกว่าก็เข้ารอบไป ทีนี้การจับสลากมันมีเงื่อนไขหลักอยู่ว่าทีมที่เคยอยู่กลุ่มเดียวกัน ทีมที่มาจากชาติเดียวกัน จะไม่สามารถเจอกันได้ อีกอย่างจะเป็นการจับสลากแบบแชมป์กลุ่มเจอกับรองแชมป์กลุ่ม เรามาดูกันว่าทีมแชมป์กลุ่มทั้ง 8 นั้น ใครน่ากลัวจนไม่น่าเจอมากที่สุดตอนนี้
ลิเวอร์พูล
ชั่วโมงนี้หากให้จิ้มทีมแชมป์กลุ่มที่ไม่มีใครอยากเจอมากที่สุด ต้องเป็นลิเวอร์พูลจากเกาะอังกฤษแน่นอน พวกเค้ามีความแข็งแกร่งทั้งเกมรุกและเกมรับ เกมรับนำโดยเวอร์กิล ฟาน ไดค์ กองหลังที่น่าจะเป็นเบอร์ 1 ของโลกแล้วตอนนี้ กับ อลิซซอน ผู้รักษาประตูจอมหนึบ กองหน้าสามตัวแนวรุก เฟอร์มิโน่ , มาเน่, ซาลาห์ สามคนนี้พร้อมจะทำให้ตาข่ายไหวได้ตลอดเวลายังไม่นับผู้เล่นจากตำแหน่งอื่นที่พร้อมจะทำประตูได้ด้วย แข็งแกร่งทั้งรุกรับแบบนี้ใครเจอถ้าตั้งสติไม่ดีอาจจะตกรอบไปแบบหมดทางสู้
บาร์เซโลน่า
ต่างดาว บาร์เซโลน่า อาจจะเริ่มต้นฤดูกาลได้ไม่ดีเท่าไร ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า เมสซี่ เจ็บไม่ได้ลงสนามีผลอย่างมาก แต่พอเมสซี่ กลับมา ทุกอย่างก็กลับมาเข้าที่เข้าทาง บวกกับ อองตวน กรีซมันน์ กองหน้าตัวเก่งที่ซื้อมาเริ่มปรับตัวเข้ากับระบบทีมได้แล้ว อะไรๆก็ดูลงล็อคไปหมด เจอแบบนี้เข้าไปไม่มีใครอยากเจอชาวต่างดาวแน่นอน เพราะหากเผลอเราอาจจะโดนมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อว่า เมสซี่ เสกประตูในรูปแบบที่คิดไม่ถึง
บาเยิร์น มิวนิค
อันดับที่ 3 ยอมรับว่าตัดสินใจยากจริงระหว่าง บาเยิร์น มิวนิค, ยูเวนตุส กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ถ้านับผลงานในถ้วยนี้อย่างเดียว ต้องยอมรับว่า บาเยิร์น มิวนิค เป็นทีมที่ผลงานร้อนแรงมาก คงเส้นคงวาที่สุด รอบแบ่งกลุ่มชนะรวด 6 เกมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แถมดูเหมือนทีมจะมาเน้นถ้วยนี้แทนเพราะในลีคผลงานดูไม่กระเตื้องขึ้นเท่าไร ยิ่งทำให้น่ากลัวขึ้นเยอะ ต้องมาดูกันว่า ใครจะมาแจ็กพ็อตเจอสามทีมนี้

เดวิด มอยส์ กับโอกาสกลับมาสร้างชื่อ (อีกครั้ง)

ย้อนกลับไปช่วงเวลาที่ ป๋า เฟอร์กี้ กำลังจะลาออก เชื่อหรือไม่ว่า ชื่อของเดวิด มอยส์ ไม่ได้อยู่ในสายตาของแฟนบอลเลยแม้แต่น้อย จริงอยู่ว่าผลงานของเค้ากับเอฟเวอร์ตันก็ถือว่าดีนะ แต่หากจะให้ขึ้นมาคุมทีมลุ้นชั้นดูจะไม่เข้ากันเท่าไร แล้วมันก็จริง การขึ้นมาคุมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดครั้งนั้นถือว่าพลาดมาก จนทำให้เจ้าตัวโดนปลดออกไป จากนั้นก็ดูเหมือนจะหลุดโฟกัสไปเลย มาตอนนี้ชื่อของเค้ากลับมาอีกครั้งในเวทีพรีเมียร์ลีค
เอฟเวอร์ตัน การเปลี่ยนแปลงต้องมี
เอฟเวอร์ตันเองหลังจากเสียเดวิด มอยส์ ออกไป เค้าเองก็มองหาผู้จัดการทีมมาหลายคนเหมือนกัน คนปัจจุบันคือ มาร์โก ซิลวา นายใหญ่คนนี้ก็ถือว่าทำงานผลงานได้ดีทีเดียว แต่ฤดูกาลนี้ต้องบอกว่าทุกอย่างเหมือนไม่เป็นไปตามต้องการ นักเตะหลายคนฟอร์มไม่ดีเอาเลย ทำให้ตอนนี้เอฟเวอร์ตันอยู่ในพื้นที่ไม่ดีเท่าไรสำหรับการต่อสู้ในลีค ทำให้ตอนนี้พวกเค้าเริ่มจะมีข่าวออกมาว่าจะเปลี่ยนแปลงด้วยการเอานายเก่าคนเดิมอย่างเดวิด มอยส์ กลับมาแล้ว
เดวิด มอยส์ โอกาสสร้างชื่ออีกครั้ง
หากเราคิดตามข่าว สมมุติว่า เอฟเวอร์ตัน ปลด ซิลวา ออกไปแล้วเอา เดวิด มอยส์ เข้ามาเนื่องจากผลงานของมอยส์ยุคนั้นกับเอฟเวอร์ตันมันโหดจริง ต้องบอกว่านี่เป็นโอกาสที่ดีของเค้าในการกลับมาแก้มืออีกครั้ง กับทีมเดิม แต่คราวนี้ลูกทีมไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว การพาเอฟเวอร์ตัน กลับมาได้ สำหรับมอยส์ ก็ไม่ยากเท่าไรนัก ยิ่งตอนนี้ทีมในพรีเมียร์ลีคยกระดับมาตรฐานสูงขึ้นมาก หากมอยส์คิดว่าแบบเดิมเอาตัวรอดได้คิดผิดเลย
อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า ฟุตบอลแบบมอยส์ มันค่อนข้างจะโบราณมาก แต่ข้อดีของมันก็คือ การเล่นบอลไดเรคยาวๆเอาตัวเข้าชน เข้าแทงค์ เข้าแลก บอกเลยว่าบางกรณีมันก็สามารถคว้าแต้มได้ตามต้องการ หากเก็บแต้มได้เรื่อยๆตามต้องการโอเคโอกาสการเข้าถึงพื้นที่ฟุตบอลยูโรป้า อาจจะยาก แต่หากตั้งเป้าไว้ที่ครึ่งบนตาราง มอยส์ น่าจะทำได้อยู่

อัศวินสีส้ม แซงหน้า ตราไก่ คว้าแชมป์กลุ่มเข้าสู่สู่รอบรองชนะเลิศ


ฟุตบอลศึกยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก 2018-2019 เป็นการแข่งขันนัดสุดท้ายในลีก A กลุ่ม 1 ระหว่าง เยอรมัน เปิดสนามเฟลตินส์ อารีนา ในเมืองเกลเซนเคียร์เชน ต้อนรับการมาเยือนของ เนเธอร์แลนด์
ซึ่งเกมส์นี้ทีมเยือนต้องการเพียงแต้มเดียวจากเกมส์นัดนี้เท่านั้นก็จะเข้ารอบต่อไป

โยอาคิม เลิฟ กุนซือเจ้าถิ่นซึ่งยังสะกดคำว่าชนะไม่เป็นเลยในรายการนี้ จนต้องตกชั้นลงไปเล่นในลีก B แน่นอนแล้ว เลือกจัดทัพมาในระบบ 3-4-3 โดยใช้แนวรุกเป็นสามประสานดาวรุ่งอย่าง
แซร์ช กนาบรี้, ติโม แวร์เนอร์ และ เลรอย ซาเน

ด้านผู้มาเยือนของ โรนัลด์ คูมัน ขอเพียงแค่ไม่แพ้ก็จะคว้าแชมป์กลุ่ม 1 พร้อมตีตั๋วเข้ารอบรองชนะเลิศทันที วางหมากมาในแผน 4-2-3-1 ด้วยการใช้ เมมฟิส เดปาย ค้ำหน้าเป้าคอยทำเกมรุกร่วมกับ
ควินซี โพรเมส, จอร์จินโญ ไวจ์นัลดุม และ ไรอัน บาเบิล ออกสตาร์ทเกมมาเพียงแค่ 9 นาทีเท่านั้น เป็นฝั่งของเยอรมันที่สามารถพังประตูขึ้นนำได้อย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ กนาบรี้ ดีดบอลเร็วให้
แวร์เนอร์ ใช้ศีรษะแต่งลูกก่อนจะหวดด้วยขวาตุงตาข่าย ส่งให้อินทรีเหล็กออกนำ 1-0

ถัดมานาทีที่ 19 อดีตแชมป์โลก 4 สมัยก็จัดการบวกลูกสองเพิ่มได้อีก จากจังหวะที่ โทนี โครส วางบอลยาวตั้งแต่กลางสนามไปให้ ซาเน แต่งหาเหลี่ยมหนีแนวรับทีมเยือนก่อนจะซัดด้วยซ้ายข้างถนัด
ไปแฉลบขาของ เคนนี เตเต้ แบ็คขวาอัศวินสีส้มเข้าไป ช่วยให้เจ้าบ้านหนี่ห่างเป็น 2-0 ก่อนจะจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้ครึ่งหลังขุนพลออรันเยพยายามเร่งเกมบุกมากขึ้น เพื่อหวังตามตีไข่แตกให้ได้
จนมาทำสำเร็จในนาทีที่ 85 จากจังหวะที่ มาร์เทน เดอ รูน ไหลบอลให้ โพรเมส จับด้วยขวาแล้วซัดด้วยขวาหน้าเขตโทษอย่างเด็ดขาด

ทำให้เนธอร์แลนด์ไล่มาเป็น 1-2 โดยเกมทำท่าว่าจะจบลงด้วยชัยชนะของเจ้าย้านอยู่แล้ว ทว่าในนาทีที่ 90 ทีมเยือนกลับมาตามตีเสมอได้แบบเหลือเชื่อ จากจังหวะที่ ทอนนี วิลเฮนา
ตัวสำรองที่ลงมาแทน ไวจ์นัลดุม ตั้งแต่นาทีที่ 60 เปิดบอลด้วยซ้ายทางกราบขวาเข้าเขตโทษไปโดน โยชัว คิมมิช โหม่งสกัดไม่ดีกลายเป็นมาชงให้ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ วอลเลย์ตามน้ำด้วยขวาตุงตาข่าย
ทำให้สุดท้ายจบเกมด้วยผลเสมอ 2-2

ผลเสมอในเกมนี้ ทำให้บทสรุปของลีก A กลุ่ม 1 กลายเป็นเนเธอร์แลนด์ที่คว้าแชมป์กลุ่มไปครอง แม้ว่าจะมี 7 คะแนนเท่ากับอันดับ 2 อย่างฝรั่งเศส แต่อัศวินสีส้มมีเฮดทูเฮดดีกว่า ทำให้ได้ผ่านเข้าไปเล่น
ในรอบรองชนะเลิศที่จะแข่งขันในช่วงเดือนมิถุนายนปีหน้า ส่วนเยอรมันจบอันดับ 3 สุดท้ายของกลุ่ม 1 ด้วยการมีแค่ 2 คะแนน และไม่ชนะทีมใดเลย สรุป 4 ทีมจากลีก A ที่ผ่านเข้ารอบฯ มี โปรตุเกส ,
อังกฤษ , สวิตเซอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์

เชลซี ขยายสัญญาใหม่ เอแด็น อาซาร์ ไม่ปล่อยไปแน่

เชลซี

นักเตะของเชลซีที่ทำผลงานได้ดีในเวลานี้คงจะหนีไม่พ้น เอแด็น อาซาร์ จอมทัพนักเตะทีมชาติเบลเยียม ซึ่งกำลังเป็นที่หมายตาของสโมรสรยักษ์ใหญ่อย่าง เรอัล มาดริด หลังเจ้าตัวได้เกริ่นว่าอยากย้ายไปร่วมทีมด้วย
เจ้าตัวเผยว่าพร้อมที่จะเปิดการเจรจาเรื่องการต่อสัญญาใหม่กับต้นสังกัดเช่นกัน ถึงแม้ว่าบางครั้งก็ฝันอยากย้ายไปเล่นให้ เรอัล มาดริด เพราะเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และอีกอย่างเขาก็อยากสวมชุด “ราชันชุดขาว” มาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว

เอแด็น อาซาร์ เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งของ เชลซี สโมสรฟอร์มแกร่งแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เปิดใจพร้อมที่จะเจรจาเรื่องการขยายสัญญาใหม่กับสิงโตน้ำเงินคราม “เชลซี” ยอมรับแม้บางครั้งจะคิดเรื่องย้ายไปเล่นให้ราชันชุดขาว
“เรอัล มาดริด” ก็ตาม อาซาร์ จอมทัพฟอร์มระเบิดวัย 27 ปี ได้รับค่าเหนื่อยจากสัญญาปัจจุบันอยู่ที่ 200,000 ปอนด์ (ราว 9 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ ซึ่งสัญญานี้จะหมดลงหลังจบฤดูกาลหน้า
โดยตอนนี้นักเตะกำลังทำผลงานได้อย่างสุดยอดภายใต้การคุมทัพของกุนซือ เมาริซิโอ ซาร์รี่

ก่อนหน้านี้ อาซาร์ เคยอยู่ในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ มานาน 6 ปี ยอมรับว่าฝันอยากย้ายไปเล่นให้ เรอัล มาดริด แต่ตอนนี้ดูเหมือนนักเตะจะเปิดใจแล้วเพราะเขาพร้อมเปิดการเจรจาในเรื่องการขยายสัญญากับต้นสังกัดแล้ว
“ผมสามารถพูดได้ตอนนี้เลยว่าถ้าพวกเขาเข้ามาหาผม แน่นอนว่าผมจะพูดคุยเรื่องนี้ทันที และผมไม่อยากพูดว่าผมไม่ได้คุยกับสโมสรหรือเจ้าของทีม ผมมีโอกาสได้พูดคุยเรื่องนี้กับพวกเขาบ่อยมาก
บางครั้งตอนที่ผมตื่นเช้าในหัวของผมก็คิดเรื่องการย้ายทีมนะ แต่บางครั้งผมก็คิดว่าผมอยากจะอยู่ต่อไป มันเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากจริง ๆ สำหรับอนาคตของผม ผมอายุ 27 ปีแล้ว และจะครบ 28 ปีเดือนมกราคมนี้”

“นั้นคือเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงพูดเรื่องนี้หลังฟุตบอลโลก และผมบอกไปแล้วว่ามันถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนเพราะผมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฟุตบอลโลก ผมกำลังทำผลงานได้ดีมาก ๆ ในตอนนี้ เรอัล มาดริดเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก”
“ผมไม่อยากโกหก มันเป็นความฝันของผมตั้งแต่ผมเด็ก ๆ ผมฝันเกี่ยวกับสโมสรนี้ เราคงจะได้เห็นกัน ผมไม่อยากพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทุกวันหรอก ผมไม่มีเวลาขนาดนั้น แต่เราจะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องอนาคตของผมในเร็ว ๆ นี้” อาซาร์ ระบุ

ทั้งนี้ผลงานที่โดดเด่นล่าสุดของ เอแด็น อาซาร์ คือเกมระหว่างเซาธ์แฮมป์ตัน 3-0 ที่อาซาร์ช่วยทำประตูให้กับทีม 1 ประตู ในนาทีที่ 30 กลายเป็น เชลซี ออกนำ 1-0 รอสส์ บาร์คลี่ย์ ขโมยบอลมาได้ก่อนแทงให้ เอแด็น อาซาร์
หลุดไปแปตุงตาข่ายและเป็นประตูที่ 7 ในลีกของเขาฤดูกาลนี้ และกลับมาคว้าชัยในลีกได้ในรอบ 2 เกม หลังสะดุดเสมอสองเกมติดต่อกัน ส่งผลให้ สิงห์บลูส์ เชลซี ขึ้นไปรั้งจ่าฝูงชั่วคราว

แนวทางการบริหารที่ได้จากป๋า

คงไม่มีใครปฏิเสธว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คือชายที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในวงการลูกหนัง หลังจากที่ป๋าได้วางมือไปแล้ว แน่นอนว่าหลายคนก็คงจะอยากรู้เคล็ดลับความสำเร็จของเค้าว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งเค้าก็มักจะบอกเสมอๆเวลาต้องไปบรรยายที่ไหนก็ตาม อย่างเช่นล่าสุดที่มิลาน ป๋าได้เล่าเรื่องราวเล็กๆที่เราหยิบเอามาเป็นแนวทางในการบริหารได้เหมือนกัน

อย่าปล่อยปัญหาให้เนิ่นนานไป

จากการบรรยายล่าสุด ป๋า จะเล่าว่าเค้ามักจะต้องออกไปแสดงความรู้สึกหลังเกมการแข่งขันกับนักเตะเสมอ ว่าเค้าคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไรต่อเหตุการณ์ในสนามทั้งในแง่ที่ดีและไม่ดี บางครั้งผู้ช่วยก็จะรั้งไว้ว่าให้ไปคุยวันถัดไป แต่เซอร์อเล็กซ์บอกว่าไม่ได้ เค้าต้องรับรู้เดี๋ยวนี้ ตรงนี้บอกเลยว่า ป๋า จะไม่ปล่อยปัญหาให้ทิ้งไว้เนิ่นนาน เค้าต้องจัดการอะไรบางอย่ากับปัญหาเสียก่อน

ทัศนคติที่ดี คือสิ่งที่สำคัญ

การบริหารทีมของท่านเซอร์นั้น หลายคนอาจจะนึกถึง ไดร์เป่าผมอันเลื่องชื่อ งานนี้ท่านเซอร์เปิดเผยเองว่าใช้ไปแค่ 6 ครั้งตลอด 27 ปี อันนี้ไม่เชื่อนะบอกตรงๆ แต่ที่เชื่อก็คือ เค้าบอกว่าเค้ามักจะมอบทัศนคติที่ดีให้กับผู้เล่นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงานหนัก เล่นให้เป็นทีม และเล่นให้สนุก ตรงนี้ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารงานเลย หากเรามอบทัศนคติที่ดีส่งผ่านไปถึงลูกน้องได้ เค้าก็จะแสดงออกมาในรูปแบบของการกระทำที่ดีเอง

ทีมสำคัญกว่านักเตะ

อีกเรื่องที่เราหยิบมาประยุกต์ใช้ได้ก็คือ เรื่องการปล่อยผู้เล่นออกจากทีมของเซอร์อเล็กซ์ แน่นอนว่ามันย่อมเป็นเรื่องเจ็บปวดที่เราต้องบอกลานักเตะที่ร่วมเล่นด้วยกันมา แต่ท่านเซอร์ก็ต้องยอมทำเพื่อให้ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้สิ่งที่ดีที่สุดถึงแม้ว่าเค้าอาจจะต้องเสียใจก็ตาม เปรียบไปก็เหมือนกับเราที่ต้องทำงานโดยยึดบริษัทเป็นหลักไม่ใช่ตัวบุคคลนั่นเอง